เอเอฟซีชปล.เดือด!ซูวอนตะลุมบอนอัลซาด
สตาฟฟ์โค้ช และผู้เล่นของทั้งสองฝั่งต่างพร้อมใจกรูกันเข้ามาเปิดฉากปะทะดุในสนามโดยมิได้นัดหมาย หลังจากที่ มามาดู เนียง กองหน้าทีมชาติเซเนกัล ของ อัล ซาด ส่องประตูนำ 2-0 ซึ่งเป็นประตูที่ 2 ของตนเองในนัดนี้ในนาทีที่ 81 อย่างน่ากังขา โดยฝั่งทีมเจ้าบ้านไม่พอใจอย่างมาก เนื่องจากเห็นว่า ทีมเยือนไม่มีน้ำใจนักกีฬา จากจังหวะที่นักเตะ ซูวอน เจ็บศีรษะ เจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาปฐมพยาบาล พอเริ่มเล่นกันใหม่ อัล ซาด เปิดบอลคืนให้กับ จอง ซอง-รยอง ผู้รักษาประตู ซูวอน ดีกรีทีมชาติเกาหลีใต้ แต่ เนียง กลับวิ่งเข้าไปรับบอลแล้วเลี้ยงหลบ จอง เข้าไปยิงประตูอย่างหน้าตาเฉย
ฟุตบอลแถมมวยหนนี้ เริ่มจากการผลักอกกันไปกันมา ก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นการไล่เตะกันและกัน แต่ก็มีบางคนที่ต้องวิ่งหนีอารมณ์เดือดของอีกฝ่าย ในขณะที่มีข้าวของสารพัดถูกขว้างปาลงมาจากบนอัฒจันทร์เป็นพัลวัน แถมยังมีกองเชียร์หนึ่งคนวิ่งลงมาร่วมวงด้วยอีกต่างหาก
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลงไปแล้ว มาลิค อับดุล บาเชียร์ ผู้ตัดสินชาวสิงคโปร์ จึงได้ควักใบแดงไล่ สเตวิก้า ริสติช กองหน้าทีมชาติมาเซโดเนีย ของ ซูวอน และ อับดุล กาแดร์ เกตา หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ของ อัล ซาด ออกไปจากสนามโทษฐานชกต่อยกัน ทั้งๆ ที่มีความเป็นไปได้อย่างมากๆ ที่จะแจกมากกว่านั้นก็ยังได้ ถัดจากนั้นนาทีที่ 90 เนียง ก็มาโดนตะเพิดไปอีกคน โทษฐานเตะบอลทิ้ง จึงได้รับใบเหลืองที่ 2 เท่ากับเป็นใบแดงตามระเบียบ
ภายหลังการแข่งขัน ยุน ซอง-ฮโย โค้ชทีม ซูวอน กล่าวว่า "ชัดเจนเลยว่า ยอม กี-ฮุน ทำบอลออกไปก็จริง แต่มันก็เป็นสถานการณ์ที่ผมคิดว่า ผู้เล่นของเราควรจะได้บอลกลับมาครอบครอง ทีมคู่แข่งทำประตู (ที่ 2) อย่างชนิดที่ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะในเรื่องนี้"
ด้าน ฮอร์เก้ ฟอสซาติ กุนซือ อัล ซาด ชาวอุรุกวัย ซึ่งจะได้เปิดรังรับมือ ซูวอน บ้างในเกมนัดสอง วันพุธที่ 26 ต.ค.นี้ กล่าวว่า "มีผู้เล่น 2 คนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ลูกทีมของผมรู้สึกกดดันอย่างหนัก หลังจากที่โดน ซูวอน ทำเกมรุกบุกขึ้นมาได้อย่างต่อเนื่อง แน่นอนเลยว่า ผมไม่ได้อยากจะแก้ตัวเรื่องประตูที่ 2 แต่ผมคิดว่า เนียง เพี้ยนไปแล้วที่ตัดสินใจเดินเกมรุกด้วยตัวคนเดียวแบบนั้น"
ทั้งนี้ จากภาพเหตุการณ์ที่ไม่น่าดูชมดังกล่าว รายงานระบุว่า สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี) น่าจะพิจารณาบทลงโทษผู้กระทำความผิดสถานหนักค่อนข้างจะแน่นอนแล้ว
เจิดรับกลัวอาการเจ็บทำให้ต้องแขวนสตั๊ด
ลินเดการ์ดลดกระแสผีดวลเรือยังไม่ตัดสินแชมป์
สตีเว่น เจอร์ราร์ด กองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล รับกลัวว่าอาการเจ็บครั้งล่าสุดจะทำให้ตัวเองต้องแขวนสตั๊ด เนื่องจากต้องร้างสนามไปนานถึงครึ่งปี และนับเป็นช่วงเวลายากลำบากที่สุดในอาชีพของตัวเอง
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดมิดฟิลด์กัปตันทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมายอมรับเมื่อวันพุธที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขากลัวว่าอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบจะทำให้ตัวเองต้องยุติอาชีพการค้าแข้งลง
เจอร์รา ร์ด ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในรอบ 6 เดือนในเกมแดงเดือดที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และล่าสุดสตาร์ทีมชาติอังกฤษ ยอมรับว่าตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพและกลัวว่าตัวเองจะไม่ สามารถกลับมาเล่นได้อีก
"มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณ เกิดความสงสัย สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในใจคุณอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บผมรู้ว่ามันจะหนักแน่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฐานะนักฟุตบอล ก่อนเข้าผ่าตัดผมมีอาการบาดเจ็บรบกวนและต้องฉีดยาเพื่อลงเล่น ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก ผมพยายามฝืนร่างกาย แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมและผมก็ไม่ใช่นักเตะอย่างที่ผมต้องการ ผมคิดถึงการฝึกซ้อมและการมาสโมสรในวันก่อนการแข่งขันเพื่อลงซ้อมครั้งสุด ท้าย หรือการฉีดยาเพื่อลงเล่นในวันต่อไป
"คุณสามารถทำ อย่างนั้นได้ตลอดก่อนที่ร่างกายคุณทนรับไม่ไหวและผมก็มีอาการบาดเจ็บโคนขา หนีบ เมื่อมันเกิดขึ้นผมก็รู้สึกแย่และมันก็ต้องใช้เวลาก่อนที่ผมจะกลับมามองใน แง่ดีอีกครั้ง มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งช่วง 2 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด ซึ่งผมต้องใช้ไม้ค้ำยัน ที่ผมเริ่มต้นมองในแง่ดีอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลายากลำบากที่สุดในอาชีพของผม" เจอร์ราร์ด กล่าว
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยอดมิดฟิลด์กัปตันทีม "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกมายอมรับเมื่อวันพุธที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่า เขากลัวว่าอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบจะทำให้ตัวเองต้องยุติอาชีพการค้าแข้งลง
เจอร์รา ร์ด ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในรอบ 6 เดือนในเกมแดงเดือดที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และล่าสุดสตาร์ทีมชาติอังกฤษ ยอมรับว่าตลอดช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพและกลัวว่าตัวเองจะไม่ สามารถกลับมาเล่นได้อีก
"มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณ เกิดความสงสัย สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในใจคุณอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ผมได้รับบาดเจ็บผมรู้ว่ามันจะหนักแน่ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมยอมรับว่าผมรู้สึกแย่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฐานะนักฟุตบอล ก่อนเข้าผ่าตัดผมมีอาการบาดเจ็บรบกวนและต้องฉีดยาเพื่อลงเล่น ผมรู้ว่าผมทำไม่ถูก ผมพยายามฝืนร่างกาย แต่มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมและผมก็ไม่ใช่นักเตะอย่างที่ผมต้องการ ผมคิดถึงการฝึกซ้อมและการมาสโมสรในวันก่อนการแข่งขันเพื่อลงซ้อมครั้งสุด ท้าย หรือการฉีดยาเพื่อลงเล่นในวันต่อไป
"คุณสามารถทำ อย่างนั้นได้ตลอดก่อนที่ร่างกายคุณทนรับไม่ไหวและผมก็มีอาการบาดเจ็บโคนขา หนีบ เมื่อมันเกิดขึ้นผมก็รู้สึกแย่และมันก็ต้องใช้เวลาก่อนที่ผมจะกลับมามองใน แง่ดีอีกครั้ง มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นจนกระทั่งช่วง 2 สัปดาห์หลังจากการผ่าตัด ซึ่งผมต้องใช้ไม้ค้ำยัน ที่ผมเริ่มต้นมองในแง่ดีอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเวลายากลำบากที่สุดในอาชีพของผม" เจอร์ราร์ด กล่าว
ลินเดการ์ดลดกระแสผีดวลเรือยังไม่ตัดสินแชมป์
อันเดอร์ส ลินเดการ์ด นายทวารมือ 2 แมนฯ ยูไนเต็ด ยันเกมระหว่าง "ผีแดง" กับ แมนฯ ซิตี้ สุดสัปดาห์นี้ เป็นแค่แมตช์ๆ หนึ่งเท่านั้น ยังไม่ได้มีการตัดสินแชมป์แต่อย่างใด เพราะยังมีอีกหลายทีมที่สามารถสอดแทรกเข้ามาได้ รับซีซั่นนี้การแย่งแชมป์สูสีจริงๆ
อันเดอร์ส ลินเดการ์ด ผู้รักษาประตูชาวเดนมาร์กของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาโรงลดกระแสความกดดันเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง "ปีศาจแดง" กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคมนี้ ยืนยันเกมนี้ยังไม่ได้ตัดสินแชมป์แต่อย่างใด
นายทวารมือ 2 "ผีแดง" ซึ่งได้ลงเฝ้าเสาตัวจริงเกมชนะ โอเตลุล 2-0 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ซี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กล่าวว่า "4 เกมก่อนหน้านี้ผมเคยพูดไปแล้วว่ามันจะเป็นการสู้กันระหว่าง ซิตี้ กับ ยูไนเต็ด แต่ เชลซี ก็กำลังทำผลงานได้ดี ดังนั้นคุณไม่ควรพูดว่ามันมีแค่ ยูไนเต็ด กับ ซิตี้ ในตอนนี้ มันยังเร็วเกินไป ซิตี้ เป็นทีมที่ดีมาก พวกเขามีนักเตะที่มีคุณภาพทุกๆ ตำแหน่ง ซึ่งก็เหมือนกับเรา ไม่มีอะไรต้องสงสัยว่าปีนี้การแข่งขันช่างสูสีกันจริงๆ"
นอก จากนี้ โกล์วัย 27 ปี กล่าวถึงการย้ายมาอยู่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ว่า "หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจผมมากๆ ตอนที่ผมย้ายมาอยู่ ยูไนเต็ด ทุกๆ เกมมีการจัดการในแนวทางเดียวกัน มันไม่สำคัญว่าจะเล่นในบ้าน หรือเยือน เชลซี ทุกเกมต้องเอาจริงเอาจังเสมอ มันดูเหมือนหนึ่งในรากฐานสำคัญของสโมสรแห่งนี้ในการสู้กับคู่แข่ง เกมพบ แมนฯ ซิตี้ เป็นเกมๆ หนึ่ง มันเหมือนกับเกมอื่นๆ"
ส่วนการ ต้องแย่งตำแหน่งกับ ดาบิด เด เคอา นายทวารชาวสแปนิช นั้น ลินเดการ์ด เปิดใจว่า "ผมไม่ได้รู้สึกกดดัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นส่วนสำคัญของเกม ไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นผู้รักษาประตู แต่การมีขุมกำลังเยอะก็เพื่อความมั่นคงของทุกๆ สโมสร"
"เรา ต้องการชนะตลอด ผมเตรียมตัวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะการลงฝึกซ้อมที่สหรัฐอเมริกา หรือในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่โรมาเนีย หรือ โปรตุเกส นั่นเป็นส่วนหนึ่งของผู้รักษาประตู หนึ่งในก้าวสำคัญของความสำเร็จก็คือการมีสมาธิ และความมุ่งมั่นเสมอ" มือกาวเลือดโคนม ร่ายยาว
อันเดอร์ส ลินเดการ์ด ผู้รักษาประตูชาวเดนมาร์กของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกมาโรงลดกระแสความกดดันเกมดาร์บี้แมตช์ ระหว่าง "ปีศาจแดง" กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคมนี้ ยืนยันเกมนี้ยังไม่ได้ตัดสินแชมป์แต่อย่างใด
นายทวารมือ 2 "ผีแดง" ซึ่งได้ลงเฝ้าเสาตัวจริงเกมชนะ โอเตลุล 2-0 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ซี เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา กล่าวว่า "4 เกมก่อนหน้านี้ผมเคยพูดไปแล้วว่ามันจะเป็นการสู้กันระหว่าง ซิตี้ กับ ยูไนเต็ด แต่ เชลซี ก็กำลังทำผลงานได้ดี ดังนั้นคุณไม่ควรพูดว่ามันมีแค่ ยูไนเต็ด กับ ซิตี้ ในตอนนี้ มันยังเร็วเกินไป ซิตี้ เป็นทีมที่ดีมาก พวกเขามีนักเตะที่มีคุณภาพทุกๆ ตำแหน่ง ซึ่งก็เหมือนกับเรา ไม่มีอะไรต้องสงสัยว่าปีนี้การแข่งขันช่างสูสีกันจริงๆ"
นอก จากนี้ โกล์วัย 27 ปี กล่าวถึงการย้ายมาอยู่ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ว่า "หนึ่งในสิ่งที่ประทับใจผมมากๆ ตอนที่ผมย้ายมาอยู่ ยูไนเต็ด ทุกๆ เกมมีการจัดการในแนวทางเดียวกัน มันไม่สำคัญว่าจะเล่นในบ้าน หรือเยือน เชลซี ทุกเกมต้องเอาจริงเอาจังเสมอ มันดูเหมือนหนึ่งในรากฐานสำคัญของสโมสรแห่งนี้ในการสู้กับคู่แข่ง เกมพบ แมนฯ ซิตี้ เป็นเกมๆ หนึ่ง มันเหมือนกับเกมอื่นๆ"
ส่วนการ ต้องแย่งตำแหน่งกับ ดาบิด เด เคอา นายทวารชาวสแปนิช นั้น ลินเดการ์ด เปิดใจว่า "ผมไม่ได้รู้สึกกดดัน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่สำคัญๆ ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเป็นส่วนสำคัญของเกม ไม่ใช่แค่เพราะผมเป็นผู้รักษาประตู แต่การมีขุมกำลังเยอะก็เพื่อความมั่นคงของทุกๆ สโมสร"
"เรา ต้องการชนะตลอด ผมเตรียมตัวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะการลงฝึกซ้อมที่สหรัฐอเมริกา หรือในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ที่โรมาเนีย หรือ โปรตุเกส นั่นเป็นส่วนหนึ่งของผู้รักษาประตู หนึ่งในก้าวสำคัญของความสำเร็จก็คือการมีสมาธิ และความมุ่งมั่นเสมอ" มือกาวเลือดโคนม ร่ายยาว
สเปนยังรั้งเบอร์1,ไทยขึ้นที่114อันดับโลกฟีฟ่า
ทีมชาติสเปน ยังคงรั้งอยู่เบอร์ 1 ของโลกอย่างเหนียวแน่น ในการจัดอันดับของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่ บราซิล ขยับแซงขึ้นมาอยู่ที่ 5 หลังจากร่วงลงไปอยู่ที่ 7 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 18 ปี เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ส่วนไทยไต่ขึ้นมา 3 อันดับอยู่ที่ 114 ของโลก
สรุปผลการจัดอันดับทีมชาติของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ล่าสุดเมื่อวันวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2554 (ตัวเลขในวงเล็บเป็นอันดับเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา)
1.(1) สเปน 1,624 คะแนน
2.(2) ฮอลแลนด์ 1,425 คะแนน
3.(3) เยอรมัน 1,352 คะแนน
4.(4) อุรุกวัย 1,230 คะแนน
5.(7) บราซิล 1,144 คะแนน
6.(6) อิตาลี 1,135 คะแนน
7.(8) อังกฤษ 1,101 คะแนน
8.(11) กรีซ 1,044 คะแนน
8.(5) โปรตุเกส 1,044 คะแนน
10.(10) อาร์เจนตินา 1,030 คะแนน
10.(17) เดนมาร์ก 1,030 คะแนน
12.(9) โครเอเชีย 1,015 คะแนน
13.(13) รัสเซีย 975 คะแนน
14.(21) สวีเดน 955 คะแนน
15.(12) ฝรั่งเศส 953 คะแนน
16.(14) ชิลี 941 คะแนน
17.(15) ญี่ปุ่น 924 คะแนน
18.(18) สวิตเซอร์แลนด์ 920 คะแนน
19.(16) ไอวอรี่โคสต์ 898 คะแนน
20.(19) ออสเตรเลีย 882 คะแนน
*114.(117) ไทย 275 คะแนน
อันดับทีมเอเชีย
17.(15) ญี่ปุ่น 924 คะแนน
20.(19) ออสเตรเลีย 868 คะแนน
31.(29) เกาหลีใต้ 754 คะแนน
42.(50) อิหร่าน 626 คะแนน
70.(73) จีน 463 คะแนน
73.(79) อุซเบกิสถาน 452 คะแนน
81.(85) จอร์แดน 428 คะแนน
91.(107) อิรัก 379 คะแนน
92. (97) กาตาร์ 371 คะแนน
96.(100) คูเวต 350 คะแนน
*114.(117) ไทย 275 คะแนน
ทีมชาติสเปน ยังคงรั้งอยู่เบอร์ 1 ของโลกอย่างเหนียวแน่น ในการจัดอันดับของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ขณะที่ บราซิล ขยับแซงขึ้นมาอยู่ที่ 5 หลังจากร่วงลงไปอยู่ที่ 7 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 18 ปี เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ส่วนไทยไต่ขึ้นมา 3 อันดับอยู่ที่ 114 ของโลก
สรุปผลการจัดอันดับทีมชาติของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ล่าสุดเมื่อวันวันพุธที่ 19 ตุลาคม 2554 (ตัวเลขในวงเล็บเป็นอันดับเมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา)
1.(1) สเปน 1,624 คะแนน
2.(2) ฮอลแลนด์ 1,425 คะแนน
3.(3) เยอรมัน 1,352 คะแนน
4.(4) อุรุกวัย 1,230 คะแนน
5.(7) บราซิล 1,144 คะแนน
6.(6) อิตาลี 1,135 คะแนน
7.(8) อังกฤษ 1,101 คะแนน
8.(11) กรีซ 1,044 คะแนน
8.(5) โปรตุเกส 1,044 คะแนน
10.(10) อาร์เจนตินา 1,030 คะแนน
10.(17) เดนมาร์ก 1,030 คะแนน
12.(9) โครเอเชีย 1,015 คะแนน
13.(13) รัสเซีย 975 คะแนน
14.(21) สวีเดน 955 คะแนน
15.(12) ฝรั่งเศส 953 คะแนน
16.(14) ชิลี 941 คะแนน
17.(15) ญี่ปุ่น 924 คะแนน
18.(18) สวิตเซอร์แลนด์ 920 คะแนน
19.(16) ไอวอรี่โคสต์ 898 คะแนน
20.(19) ออสเตรเลีย 882 คะแนน
*114.(117) ไทย 275 คะแนน
อันดับทีมเอเชีย
17.(15) ญี่ปุ่น 924 คะแนน
20.(19) ออสเตรเลีย 868 คะแนน
31.(29) เกาหลีใต้ 754 คะแนน
42.(50) อิหร่าน 626 คะแนน
70.(73) จีน 463 คะแนน
73.(79) อุซเบกิสถาน 452 คะแนน
81.(85) จอร์แดน 428 คะแนน
91.(107) อิรัก 379 คะแนน
92. (97) กาตาร์ 371 คะแนน
96.(100) คูเวต 350 คะแนน
*114.(117) ไทย 275 คะแนน
0 ความคิดเห็น:
Speak up your mind
Tell us what you're thinking... !